วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ล้อแม็กคืออะไร

ล้อแม็ก

          ปัจจุบันความนิยมในการทำสวยให้รถยนต์ด้วยการใส่ล้อแม็กวงโตๆ ควบคู่ไปกับยางซีรี่ส์ต่ำๆ กำลังเป็นที่นิยมกันมาก ซึ่งเดี๋ยวนี้ ขนาดของวงล้อนั้น "เลยเถิด ไปจนถึงระดับ 20 นิ้วขึ้นไปกันแล้ว แต่นั่นก็ถือว่าเป็นเพียงการเล่นกันแค่ในเฉพาะบางกลุ่ม เพราะล้อ และ ยางขนาดที่ว่ามานั้น 1 ชุดมีราคาแพงมากระดับที่สามารถจะซื้อรถยนต์มือสองมาขับเล่นกันได้สบายๆ ซึ่งในระดับปกติ ที่ชาวบ้าน เล่นกันนั้น ก็จะอยู่ประมาณ 16-17 ไปจนถึง 18 นิ้ว ตามสูตร "บวกสอง" จากขนาดปกติที่ทางโรงงานให้มา ซึ่งเป็นขนาด ที่จัดว่า "เล่นได้" และให้ความสวยงามกับตัวรถในแบบที่คุ้มค่าลงตัวเป็นที่สุด


  ล้อแม็กวันนี้เหลือแค่ชื่อ

           หลายท่านคงเคยสงสัยว่าทำไมต้องเรียกล้อรถยนต์ที่ไม่ใช้ล้อเหล็กปั๊มจาก โรงงานว่า "ล้อแม็ก" นั่นก็เพราะว่า "ล้อแม็ก" ในสมัยก่อนถูกผลิตขึ้นมาโดยมี "แมกนีเซียม" เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต เพื่อจุดประสงค์ในการลดน้ำหนักของ กระทะล้อ ให้น้อยลง ล้อแม็กจึงมีน้ำหนักเบากว่าล้อเหล็กแบบเดิม จากคุณสมบัติของ แม็กนีเซียม ที่เป็นโลหะน้ำหนักเบา และนั่นจึงเป็นที่มาของคำว่า "ล้อแม็ก" ที่เรียกกัน ต่อๆ มาจนถึงปัจจุบัน

 แต่ด้วยข้อด้อยของล้อแมกนีเซียมในด้านต้นทุนการผลิตที่แพงมาก บวกกับคุณสมบัติของเนื้อแมกนีเซียม ที่ง่ายต่อการสึกกร่อน เมื่อนำมาใช้งานกับรถยนต์ที่ใช้ในชีวิตประจำวัน ความนิยมในตัวล้อแมกนีเซียมแท้ๆ จึงค่อยๆ จางไป พร้อมกับการเข้ามาแทนที่ของ ล้ออลูมินั่มอัลลอย ซึ่งมีราคาที่ถูกกว่า ผลิตได้ง่ายกว่า

หน้าที่หลักที่ไม่ใช่แค่สวย

           พัฒนาการของล้อแม็กนั้น เริ่มขึ้นในวงการรถแข่ง จากความต้องการที่จะให้กระทะล้อที่มีน้ำหนักเบา เพื่อลดแรงต้านทาน การหมุน ให้ได้มากที่สุด รวมทั้งคุณสมบัติปลีกย่อยต่างๆ ซึ่งถือเป็นผลพลอยได้ที่ตามมาก็คือ การลดภาระให้กับระบบกันสะเทือน และ บังคับเลี้ยวซึ่งจะส่งผลให้การบังคับควบคุมรถเป็นไปได้อย่างฉับไว รถมีการตอบสนองต่อคำสั่งได้ดี และเร็วขึ้น 
  
สุดท้ายก็คือ เรื่องการช่วยระบายความร้อนจากคุณสมบัติของตัววัสดุคือแม็กนีเซียม และ อลูมินั่มอัลลอยที่มีการอมความร้อนน้อยกว่าเหล็ก โดยจะส่งผ่านความร้อน ทั้งที่เกิดจากล้อยาง เสียดสีกับพื้นถนนเวลาวิ่ง ตลอดจนความร้อนที่เกิดจาก การเบรคออกออกสู่ภายนอก ได้เร็วกว่า กระทะเหล็กธรรมดา ซึ่งคุณประโยชน์ต่างๆ ของล้อเม็กที่กล่าวมานี้ ถือว่าเป็นสิ่งที่มองข้ามไป ไม่ได้ ในวงการแข่งรถ แต่สำหรับรถที่ใช้งานบนถนนทั่วไป การเลือกซื้อล้อแม็ก อาจจะคำนึงถึง ความสวยงาม ขนาดรูปแบบและวิธีการผลิตเป็นสำคัญก่อน โดยเรื่องความสวยงามนั้น ก็ขึ้นอยู่กับ รสนิยมของแต่ละบุคคลซึ่งคนส่วนใหญ่ มักจะใช้เป็นเกณฑ์ในการตัดสินใจเลือกซื้อเป็นหลักอยู่แล้ว 

 เรื่องขนาดก็ถือว่าสำคัญไม่แพ้กันเพราะล้อแม็กวงโตๆ จะช่วยขับให้รถดูสวยโดดเด่นขึ้นมาทันที (หากเลือกซื้อได้ลงตัว) แต่ โปรดทราบว่าการใส่ล้อที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติจนเกินไปนั้น จะเป็นผลเสียมากกว่าผลดี เริ่มจากช่วงล่าง หรือระบบกันสะเทือนของรถ ที่ต้องรับภาระมากกว่าปกติกินแรงของเครื่องยนต์จากน้ำหนักที่มากขึ้น และหน้าสัมผัสของยางที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้อัตราเร่ง และ ความเร็วสูงสุดของรถน้อยลงไป
 ระยะ PCD หรือ "Pitch Circle Diameter" คือ ระยะห่างของรูน็อต ที่ตัวล้อแม็ก และดุมล้อต้องมีระยะที่เท่ากัน มีหน่วยวัดเป็นมิลลิเมตร โดยส่วนมาก รถรุ่นใหม่ๆ ที่มีน็อตล้อแบบ 4 รูจะมีระยะ PCD 100 มม. แต่ก็มีอีกมากมาย หลายรุ่นที่ใช้ค่า PCD ขนาดอื่นๆ เช่น 98, 108, 110, 114.3 ซึ่งต้องเลือกดู ให้ดี  

 และอีกค่าที่มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากันก็คือ "ค่าอ๊อฟเซ็ท" ซึ่งก็คือ ค่าที่บอกตำแหน่งของหน้าแปลนด้านในของล้อแม็ก ที่สัมผัสกับดุมล้อเมื่อเทียบวัดกับกึ่งกลางของล้อแม็กในด้านข้าง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตรเช่นกัน ดูง่ายๆ คือ ถ้าล้อแม็กมีค่าอ๊อฟเซ็ท เป็น บวก เมื่อใส่เข้าไปแล้วล้อนั้นจะยื่นออกมาน้อยกว่าล้อแม็กที่มีค่าอ๊อฟเซ็ทเป็นลบ ซึ่งตัวแปรอีกอย่างที่จะบอกว่าเมื่อใส่ล้อแม็กชุดนั้น เข้า ไปแล้ว ล้อจะ "ล้น" หรือจะ "ซุก" เข้าไปในอุโมงค์ล้อก็คือ ความกว้างของล้อแม็ก ซึ่งเวลาซื้อก็ควรจะต้องทำการเทียบวัดให้ดีเสียก่อน ตัดสินใจ 

 

หมายเหตุ
*P.C.D. คือ เส้นผ่าศูนย์กลางของวงกลมที่ลากผ่านจุดกึ่งกลางรูน็อตของล้อทั้งหมด
**Offset คือ ระยะห่างระหว่างเส้นกึ่งกลางกระทะล้อกับหน้าแปลนดุมล้อ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น